RedLife ความรักผลิบานท่ามกลางความเส็งเคร็งของสังคม

Admin Feb 09 2024

ถือเป็นปีทองของวงการหนังไทยจริงๆ หลังจากที่ สัปเหร่อ ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ก็ดูเหมือนว่ากระแสเหล่านั้นได้ส่งต่อมาสู่หนังเรื่องอื่นๆ ที่เข้าตามมาด้วย เช่น ธี่หยด และ เพื่อน(ไม่)สนิท แต่ท่ามกลางเสียงตอบรับอย่างล้นหลามของคนดูที่กลับมาคึกคักกันอีกครั้งในรอบหลายปี การแข่งขันของคนทำหนังกับสตูดิโอก็ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในวงจรนี้ และดูเหมือนว่า RedLife ของ เอกลักญ กรรณศรณ์ ที่ไปสร้างชื่อไว้ในงาน Tokyo International Film Festival (TIFF) ก็เลือกที่จะลงสนามในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน



RedLife
มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของกลุ่มคนรอบวงเวียน 22 กรกฎาคมที่ต้องเอาตัวรอดไปพร้อมกับการไขว่คว้าหาความรักในสังคมที่ไร้ซึ่งความปรานี เต๋อ (แบงค์-ธิติ มหาโยธารักษ์) เด็กหนุ่มที่พยายามหาเงินด้วยการเป็นโจรวิ่งชิงทรัพย์เพื่อสร้างอนาคตกับ มายด์ (จ๋อมแจ๋ม-กานต์พิชชา พงษ์พานิชย์) หญิงสาวขายบริการที่เขาตั้งใจมอบความรักให้ แต่เต๋อกลับพบว่ายิ่งเขาพยายามมากเท่าไร ชีวิตรักที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้กับเธอยิ่งหายไปเร็วมากขึ้นเท่านั้น

ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง ส้ม (ซิดนีย์-สุพิชชา สังขจินดา) ลูกสาวเพียงคนเดียวของ อ้อย (กรองทอง รัชตะวรรณ) โสเภณีข้างถนน ก็เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังจากที่ตกหลุมรัก พีช (ฝ้าย-สุมิตตา ดวงแก้ว) รุ่นพี่ไอดอลสาวที่เต็มไปด้วยปริศนา และทำให้ส้มได้เรียนรู้ว่าราคาของความรักนั้นอาจแลกมากับทั้งชีวิตของเธอ




ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่หนังเลือกหยิบเอาสถานที่อย่างวงเวียน 22 กรกฎาคม มาใช้เป็นพื้นหลัง ส่งผลให้มันกลายเป็นส่วนสำคัญที่สามารถชักจูงให้คนดูรู้สึกคล้อยตามไปกับสถานการณ์ของตัวละครได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะความอัตคัดของพื้นที่นั้นชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ

อีกส่วนที่น่าพูดถึงคือ การที่หนังนำเสนอเรื่องของคนชายขอบ ซึ่งถือเป็นความตั้งใจที่น่าปรบมือดังๆ ให้กับคนทำหนัง ฉะนั้นการที่มันปรากฏอยู่ในหนังไทยจึงเป็นสิ่งควรค่าแก่การรับชมอย่างมาก โดยเฉพาะในโรงภาพยนตร์ที่ความแออัดเหล่านั้นถูกขยายภาพใหญ่ให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมและอันตรายอย่างชัดเจน จนน่าตั้งคำถามว่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้มีสิ่งใดเปลี่ยนไปบ้าง หรือแท้จริงแล้วมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยต่างหาก





ไม่แน่ใจว่าคนทำหนังตั้งใจวางกลไกนี้เอาไว้หรือไม่ หนังดูเหมือนจะเป็นภาพสะท้อนของผู้คนที่กำลังเสพสุขบนความยากลำบากของคนที่กำลังร่วงหล่นจาก ‘ความเป็นมนุษย์’ กลายไปเป็น ‘ซากเดน’ ที่ถูกเหยียบย่ำให้อยู่ต่ำสุดของพีระมิดทางสังคม ด้วยการทำให้ฉากขำขื่นเหล่านั้นถูกบอกเล่าผ่านท่าทีของตัวละครที่กำลังเผชิญกับความน่าสังเวช ที่ในมุมหนึ่งมันสร้างเสียงหัวเราะ แต่อีกมุมคือทำให้คนดูกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่สนุกกับการเอาชีวิตของพวกเขามาเป็นความบันเทิงโดยไม่รู้ตัว

แต่เป้าประสงค์ของหนังก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจ เมื่อมันพาคนดูดำดิ่งไปกับสถานการณ์ของตัวละครที่เหมือนจะมืดหม่นลงทุกทีที่พวกเขาตัดสินใจเดิมพันอนาคตของตัวเองไว้กับเงิน แน่นอนว่าต่อให้ไม่ต้องเป็นเหมือนตัวละครในเรื่อง ทุกคนก็ต่างรับรู้ดีอยู่แล้วว่าอำนาจของเงินสามารถทำอะไรได้ เงินจึงกลายเป็นศูนย์กลางที่ขับเคลื่อนเรื่องราวไปพร้อมกับความจนของตัวละคร เพราะทางออกเดียวที่พวกเขามีคือการหาเงินเพื่อใช้มันเป็นใบเบิกทางพาตัวเองออกไปจากสังคมที่แสนโสมม

หนังไม่มีความประนีประนอมกับชะตากรรมใดๆ ของตัวละคร มิหนำซ้ำ ความหวังอันแสนริบหรี่ก็ดูเหมือนอยู่ไกลเกินกว่าที่คนอย่างพวกเขาจะเอื้อมถึง แต่ก็นั่นแหละ นอกเหนือจากความรุนแรงและหนักหน่วง สิ่งที่ดูเหมือนจะฉุดรั้งภาพรวมของหนังเอาไว้คือการที่มันสวยงามเกินไปท่ามกลางความกักขฬะของสังคม โดยเฉพาะบางสถานการณ์ที่ดู ‘ประดิษฐ์’ และ ‘ไม่สมเหตุสมผล’ จนแทบไม่น่าเชื่อว่า ชีวิตของคนคนหนึ่งจะประสบพบเจอกับเรื่องเลวร้ายได้ราวกับพระเจ้าตั้งใจประเคนให้แต่ความวายป่วง




อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตสำคัญนอกจากภาพรวมของหนังคือ การที่กองเซ็นเซอร์ปล่อยให้คนทำหนังเล่าเรื่องที่ตัวเองต้องการได้โดยที่ไม่สั่งห้ามหรือบิดเบือนประเด็นใดๆ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับวงการหนังไทยในอนาคต เพราะมันเป็นบทพิสูจน์ว่าเมื่อคนทำหนังได้รับอิสรภาพในการทำงานอย่างเต็มที่ ผลตอบแทนเหล่านั้นย่อมส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ทั้งคนทำ คนดู หรือแม้กระทั่งตัวของกองเซ็นเซอร์เอง

สุดท้ายท่ามกลางความหลากหลายของหนังไทย ก็หวังว่า RedLife ซึ่งเป็นหนังยาวเรื่องแรกของ BrandThink Cinema จะประสบความสำเร็จ เพื่อที่อย่างน้อยจะได้เป็นขวัญกำลังใจให้กับคนทำงานได้มีไฟในการนำเสนอเรื่องราวที่แปลกตาและน่าสนใจให้กับวงการหนังไทยอีกในอนาคต

รับชมตัวอย่างได้ที่:



รับทำเว็บหนัง